ภูมิศาสตร์เป็นศาสตร์เก่าแก่สาขาหนึ่ง แต่เดิมนั้นเป็นการศึกษาวิชาภูมิศาสตร์จะเป็นไปในการบรรยายเรื่องราวเกี่ยวกับบนพื้นโลก ในราว 267 ปีก่อนคริสต์ศักราชนักภูมิศาสตร์ชาวกรีกชื่อ อีราโทสธีเนส เป็นบุคคลแรกที่นำเอาคำว่า “ภูมิศาสตร์” มาใช้เนื่องจากวิชาภูมิศาสตร์เป็น วิชาพลวัต ดังนั้นเนื้อหาหรือขอบข่ายจึงเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาและขยายกว้างขวางขึ้น จนผู้คนไม่แน่ใจวิชาภูมิศาสตร์ศึกษาเรื่องราวเกี่ยวกับอะไรกันแน่
แต่ในปัจจุบันการศึกษาภูมิศาสตร์จะเน้นในการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับสิ่งแวดล้อมในด้านต่าง ๆ
1. ความหมายของภูมิศาสตร์
ภูมิศาสตร์มาจากรากศัพท์ภาษาสันสกฤตที่เกิดจากคำว่า “ภูมิ” ซึ่งหมายถึง แผ่นดินหรือพื้นโลก นำมาสมาสกับคำว่า ศาสตร์ ที่มีความหมายว่า ตำราหรือวิชา ดังนั้น ภูมิศาสตร์จึงหมายถึง ตำราหรือวิชาที่ว่าด้วยพื้นโลก
ภูมิศาสตร์ตรงกับภาษาอังกฤษว่า Geography ซึ่งมาจากรากศัพท์ภาษากรีก Geo + Graphos คำว่า Geo มีความหมายว่า เรื่องราวเกี่ยวกับโลก ส่วน Graphos หมายถึง ศาสตร์ที่ว่าด้วยการบรรยายหรือพรรณนา ดังนั้นภูมิศาสตร์จึงหมายถึงศาสตร์ที่บรรยายหรือพรรณนาเกี่ยวกับโลก
นอกจากนั้นแล้วยังมีผู้ให้ความหมายของภูมิศาสตร์อีกมาก เช่น
ภูมิศาสตร์ หมายถึง วิชาที่ว่าด้วยความแตกต่างของพื้นผิวโลกในแง่ของลักษณะที่เด่น การกำหนด และความสัมพันธ์ระหว่างสารประกอบของโลก เช่นภูมิอากาศ ลักษณะภูมิประเทศ ดิน พืชพรรณ ประชากร การใช้ที่ดิน อุตสาหกรรมหรือรัฐและหน่วยงานที่เกิดจากความสลับซับซ้อนของส่วนประกอบต่าง ๆ (พจนานุกรมระดับวิทยาลัยอเมริกัน)
ภูมิศาสตร์ หมายถึง ศาสตร์ที่บรรยายเกี่ยวกับเปลือกโลกในแง่ของความแตกต่างหรือความสัมพันธ์ของพื้นที่ (คณะกรรมการอภิธานศัพท์ภูมิศาสตร์อังกฤษ)
ภูมิศาสตร์ หมายถึง วิชาที่ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับสิ่งแวดล้อม (พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน,2516)
2. ขอบข่ายวิชาภูมิศาสตร์ มี 2 สาขาใหญ่ คือ
2.1 ภูมิศาสตร์กายภาพ (Physical Geography) เป็นการศึกษาเรื่องราวของภูมิทัศน์ที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ เช่นลักษณะภูมิอากาศ ทรัพยากรธรรมชาติ ปรากฎการณ์ในห้วงอากาศ
2.2 ภูมิศาสตร์มนุษย์ (Human Geography) เป็นการศึกษาภูมิทัศน์ทางวัฒนธรรม เช่น ภูมิศาสตร์วัฒนธรรม ภูมิศาสตร์การเมือง ภูมิศาสตร์ประชากร ภูมิศาสตร์เศรษฐกิจ ภูมิศาสตร์การเกษตร เป็นต้น
3. ความหมายของภูมิศาสตร์กายภาพ
เป็นวิชาที่ศึกษาเกี่ยวกับลักษณะการเปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้อมทางกายภาพรอบๆ ตัวมนุษย์ ทั้งส่วนที่เป็นธรณีภาค อุทกภาค และบรรยากาศภาค ตลอดจนความสัมพันธ์ทางพื้นที่ ภูมิศาสตร์กายภาพจึงเป็นวิชาหลักพื้นฐาน ที่สามารถช่วยให้นักศึกษาวิเคราะห์เหตุผลประกอบกับการสังเกต พิจารณาสิ่งที่เปลี่ยนแปลงทางด้านกายภาพบนพื้นพิภพได้เป็นอย่างดี
4. ความสำคัญของภูมิศาสตร์กายภาพ
ภูมิศาสตร์ทางกายภาพเป็นวิชาหลักพื้นฐานที่สามารถวิเคราะห์เหตุผลประกอบกับการสังเกตพิจารณาสิ่งที่ผันแปรเปลี่ยนแปลงในภูมิภาคต่างๆ ของโลกได้เป็นอย่างดี การศึกษาภูมิศาสตร์กายภาพแผนใหม่ต้องศึกษาอย่างมีเหตุผล โดยอาศัยหลักเกณฑ์ทางภูมิศาสตร์ หรือหลักเกณฑ์สถิติซึ่งเป็นข้อเท็จจริง จากวิชาในแขนงที่เกี่ยวข้องกัน มาพิจารณาโดยรอบคอบ
5. ขอบข่ายภูมิศาสตร์ทางกายภาพ
ภูมิศาสตร์ทางกายภาพเป็นวิชาหลักพื้นฐานที่สามารถวิเคราะห์เหตุผลประกอบกับการสังเกตพิจารณาสิ่งที่ผันแปรเปลี่ยนแปลงในภูมิภาคต่างๆ ของโลกได้เป็นอย่างดี การศึกษาภูมิศาสตร์กายภาพแผนใหม่ต้องศึกษาอย่างมีเหตุผล โดยอาศัยหลักเกณฑ์ทางภูมิศาสตร์ หรือหลักเกณฑ์สถิติซึ่งเป็นข้อเท็จจริง จากวิชาในแขนงที่เกี่ยวข้องกัน มาพิจารณาโดยรอบคอบ ภูมิศาสตร์กายภาพมีขอบข่าย หรือมีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับศาสตร์ต่างๆดังนี้ 1. ยีออเดซี (Geodesy) คือ ศาสตร์ที่ว่าด้วยการหารูปทรงสัณฐานและขนาดของพิภพโดยการคำนวณหรือจากการรังวัดโดยตรง 2. ดาราศาสตร์ (Astronomy) คือ ศาสตร์ที่ว่าด้วยธรรมชาติอันเกี่ยวกับองค์ประกอบของการเคลื่อนที่ ตำแหน่งสัมพันธ์ และลักษณะที่ปรากฎของเทห์ ฟากฟ้าต่างๆของโลก 3. การเขียนแผนที่ (Cartography) คือ ศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับการทำแผนที่ ซึ่งมีความหมายคลุม ทั้งวิชาการที่เป็นมูลฐานในการทำแผนที่ และศิลปะในการเขียน แผนที่ชนิดต่างๆ 4. อุตุนิยมวิทยาและภูมิอากาศวิทยา (Meteorology and Climatology) คือ ศาสตร์ที่กล่าวถึงเรื่องราวของบรรยากาศและองค์ประกอบของภูมิอากาศ และกาลอากาศ 5. ปฐพีวิทยา (Pedology) คือ ศาสตร์ที่ศึกษาเกี่ยวกับเรื่องดิน 6. ภูมิศาสตร์พืช (Plant GeoGraphy) คือ ภูมิศาสตร์แขนงหนึ่งในสาขาวิชาภูมิศาสตร์การเกษตร เน้นหนักเรื่องพืชพรรณในถิ่นต่าง ๆ ของโลก โดยพิจารณา สภาพภูมิศาสตร์ที่เกี่ยวข้องหรือ มีผลต่อพืชนั้นๆ
7. สมุทรศาสตร์กายภาพ (Physical Oceanography) คือ ศาสตร์ที่ศึกษาทางด้านกายภาพ เกี่ยวข้องกับท้องทะเลและมหาสมุทร
8. ธรณีสัณฐานวิทยา (Geomorphology) คือ ศาสตร์ที่ว่าด้วยพื้นผิวโลก ซึ่งประมวล เอาทั้งรูปร่างธรรมชาติ กระบวนการกำเนิดและพัฒนาตัว ตลอดจน ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน 9. ธรณีวิทยา (Geology) คือ ศาสตร์ที่ด้วยความรู้เกี่ยวกับโลกทั้งภายในและภายนอก เรียกอย่างสามัญว่า วิทยาศาสตร์โลก (Earth Science) 10. อุทกวิทยา (Hydrology) คือ ศาสตร์เกี่ยวกับน้ำที่มีอยู่ในโลก เช่น ศึกษาสาเหตุการเกิดการหมุนเวียน การทรงอยู่ คุณสมบัติทางเคมีและฟิสิกส์ ตลอดจน คุณลักษณะของน้ำในลำน้ำ ทะเลสาบ และน้ำในดิน รวมทั้งการนำมาใช้ให้เป็นประโยชน์ การควบคุมและการอนุรักษ์น้ำ
วันศุกร์ที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2553
การประมวลผลภาพ
การประมวลผลภาพ (อังกฤษ: image processing) คือ เป็นการประยุกต์ใช้งานการประมวลผลสัญญาณบนสัญญาณ 2 มิติ เช่น ภาพนิ่ง (ภาพถ่าย) หรือภาพวีดิทัศน์ (วีดิโอ) และยังรวมถึงสัญญาณ 2 มิติอื่น ๆ ที่ไม่ใช่ภาพด้วย
แนวความคิดและเทคนิค ในการประมวลผลสัญญาณ สำหรับสัญญาณ 1 มิตินั้น สามารถปรับมาใช้กับภาพได้ไม่ยาก แต่นอกเหนือจาก เทคนิคจากการประมวลผลสัญญาณแล้ว การประมวลผลภาพก็มีเทคนิคและแนวความคิดที่เฉพาะ (เช่น connectivity และ rotation invariance) ซึ่งจะมีความหมายกับสัญญาณ 2 มิติเท่านั้น แต่อย่างไรก็ตามเทคนิคบางอย่าง จากการประมวลผลสัญญาณใน 1 มิติ จะค่อนข้างซับซ้อนเมื่อนำมาใช้กับ 2 มิติ
เมื่อหลายสิบปีมาแล้ว การประมวลผลภาพนั้น จะอยู่ในรูปของการประมวลผลสัญญาณแอนะล็อก (analog) โดยใช้อุปกรณ์ปรับแต่งแสง (optics) ซึ่งวิธีเหล่านั้นก็ไม่ได้หายสาบสูญ หรือเลิกใช้ไป ยังมีใช้เป็นส่วนสำคัญ สำหรับการประยุกต์ใช้งานบางอย่าง เช่น ฮอโลกราฟี (holography) แต่เนื่องจากอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ในปัจจุบัน ราคาถูกลง และเร็วขึ้นมาก การประมวลผลภาพดิจิทัล (digital image processing) จึงได้รับความนิยมมากกว่า เพราะการประมวลผลที่ทำได้ซับซ้อนขึ้น แม่นยำ และง่ายในการลงมือปฏิบัติ
แนวความคิดและเทคนิค ในการประมวลผลสัญญาณ สำหรับสัญญาณ 1 มิตินั้น สามารถปรับมาใช้กับภาพได้ไม่ยาก แต่นอกเหนือจาก เทคนิคจากการประมวลผลสัญญาณแล้ว การประมวลผลภาพก็มีเทคนิคและแนวความคิดที่เฉพาะ (เช่น connectivity และ rotation invariance) ซึ่งจะมีความหมายกับสัญญาณ 2 มิติเท่านั้น แต่อย่างไรก็ตามเทคนิคบางอย่าง จากการประมวลผลสัญญาณใน 1 มิติ จะค่อนข้างซับซ้อนเมื่อนำมาใช้กับ 2 มิติ
เมื่อหลายสิบปีมาแล้ว การประมวลผลภาพนั้น จะอยู่ในรูปของการประมวลผลสัญญาณแอนะล็อก (analog) โดยใช้อุปกรณ์ปรับแต่งแสง (optics) ซึ่งวิธีเหล่านั้นก็ไม่ได้หายสาบสูญ หรือเลิกใช้ไป ยังมีใช้เป็นส่วนสำคัญ สำหรับการประยุกต์ใช้งานบางอย่าง เช่น ฮอโลกราฟี (holography) แต่เนื่องจากอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ในปัจจุบัน ราคาถูกลง และเร็วขึ้นมาก การประมวลผลภาพดิจิทัล (digital image processing) จึงได้รับความนิยมมากกว่า เพราะการประมวลผลที่ทำได้ซับซ้อนขึ้น แม่นยำ และง่ายในการลงมือปฏิบัติ
รักษาจิต....รักษาอย่างไร
รักษาจิต....รักษาอย่างไร
สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายกวัดบวรนิเวศวิหาร ราชวรวิหาร กรุงเทพมหานครการประคองบาตรที่มี น้ำมันเต็ม แม้ไม่ตั้งสติระมัดระวังให้เต็มที่ ย่อมมีโอกาสที่น้ำมันจะหกออกนอกบาตร ทำความสกปรกเลอะเทอะให้เป็นอันมากฉันใด การไม่รักษาจิตให้ดี กิเลสย่อมทำความเสียหายให้อย่างยิ่ง ฉันนั้นท่านจึงสอนให้รักษาจิตเหมือนคนประคองบาตรที่เต็มไปด้วยน้ำมัน นึกถึงความจริงเวลามีน้ำมันหกเลอะเทอะเปรอะเปื้อนเนื้อตัวเสื้อผ้าโดยเฉพาะ ในขณะที่เนื้อตัวควรสะอาดเรียบร้อย ที่ไม่ควรให้ความสกปรกจนดูไม่ได้ปรากฏแก่สายตาผู้คนทั้งหลาย จะรู้สึกอึดอัดอับอายเพียงใด การมีกิเลสล้นออกนอกจิตใจให้ปรากฏแก่ผู้คนทั่วไป ยิ่งน่าอับอายกว่ามากมายนักการรักษาจิต คือการตามดูให้รู้ว่าความคิดที่เกิดขึ้นเป็นความคิดที่ดีหรือที่ร้ายอย่างไรเมื่อรู้แล้วให้หยุดความคิดที่ร้ายให้ได้โดยเร็วที่สุด อย่าหาข้อแก้ตัวให้ความคิดเช่นนั้นเป็นอันขาด เพราะจะมีโทษสถานเดียว ไม่มีคุณเลยแม้แต่น้อยความคิดนั้นสำคัญนัก สำคัญจริงๆ สำคัญยิ่งกว่าอะไรอื่นทั้งหมด เพราะความคิดเป็นสภาพที่เกิดกับใจ จะเข้าใจแบบง่ายๆ ว่า ความคิดคือใจก็น่าจะเป็นการเข้าใจง่ายๆ แบบคนทั่วไป เมื่อความคิดก็คือใจ ความคิดจึงเป็นใหญ่เป็นประธาน ทุกสิ่งสำเร็จด้วยความคิด เช่นเดียวกับที่พระพุทธศาสนาสุภาษิตแสดงไว้ว่า ใจเป็นใหญ่ใจเป็นประธาน ทุกสิ่งสำเร็จด้วยใจความคิดมีทั้งคุณมีทั้งโทษ แก่ผู้คิดเองก่อนแก่ผู้อื่นความรักความสามัคคีปรองดองเหมือนน้องพี่ในหมู่คณะหนึ่งหมู่คณะใด ก็อาจเกิดได้เพราะความคิดของผู้อยู่ร่วมหมู่คณะนั้น ที่เต็มไปด้วยความรัก ความปรารถนาดีต่อกันและกัน คิดให้อภัย กันเมื่อเกิดความผิดพลาดอย่างใดอย่างหนึ่งขึ้น ไม่ยกความผิดพลาดจะโดยบังเอิญหรือโดยตั้งใจของผู้ใดก็ตามมาคิดซ้ำเติมไป ต่างๆ นานาแต่คิดทุกอย่างที่จะอภัยให้แก่ความผิดพลาดนั้น ให้ใจไม่เพ่งโทษกันเช่นนี้กล่าวว่าความคิดไม่เป็นโทษ ความคิดเป็นคุณ จะให้ความสบายใจ แก่ผู้คิดนั่นเองก่อนผู้อื่น ผู้ปรารถนาความสบายใจจึงพยายามคิดไปทุกแง่ทุกมุมที่จะให้เกิดความสบายใจสมปรารถนา
สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายกวัดบวรนิเวศวิหาร ราชวรวิหาร กรุงเทพมหานครการประคองบาตรที่มี น้ำมันเต็ม แม้ไม่ตั้งสติระมัดระวังให้เต็มที่ ย่อมมีโอกาสที่น้ำมันจะหกออกนอกบาตร ทำความสกปรกเลอะเทอะให้เป็นอันมากฉันใด การไม่รักษาจิตให้ดี กิเลสย่อมทำความเสียหายให้อย่างยิ่ง ฉันนั้นท่านจึงสอนให้รักษาจิตเหมือนคนประคองบาตรที่เต็มไปด้วยน้ำมัน นึกถึงความจริงเวลามีน้ำมันหกเลอะเทอะเปรอะเปื้อนเนื้อตัวเสื้อผ้าโดยเฉพาะ ในขณะที่เนื้อตัวควรสะอาดเรียบร้อย ที่ไม่ควรให้ความสกปรกจนดูไม่ได้ปรากฏแก่สายตาผู้คนทั้งหลาย จะรู้สึกอึดอัดอับอายเพียงใด การมีกิเลสล้นออกนอกจิตใจให้ปรากฏแก่ผู้คนทั่วไป ยิ่งน่าอับอายกว่ามากมายนักการรักษาจิต คือการตามดูให้รู้ว่าความคิดที่เกิดขึ้นเป็นความคิดที่ดีหรือที่ร้ายอย่างไรเมื่อรู้แล้วให้หยุดความคิดที่ร้ายให้ได้โดยเร็วที่สุด อย่าหาข้อแก้ตัวให้ความคิดเช่นนั้นเป็นอันขาด เพราะจะมีโทษสถานเดียว ไม่มีคุณเลยแม้แต่น้อยความคิดนั้นสำคัญนัก สำคัญจริงๆ สำคัญยิ่งกว่าอะไรอื่นทั้งหมด เพราะความคิดเป็นสภาพที่เกิดกับใจ จะเข้าใจแบบง่ายๆ ว่า ความคิดคือใจก็น่าจะเป็นการเข้าใจง่ายๆ แบบคนทั่วไป เมื่อความคิดก็คือใจ ความคิดจึงเป็นใหญ่เป็นประธาน ทุกสิ่งสำเร็จด้วยความคิด เช่นเดียวกับที่พระพุทธศาสนาสุภาษิตแสดงไว้ว่า ใจเป็นใหญ่ใจเป็นประธาน ทุกสิ่งสำเร็จด้วยใจความคิดมีทั้งคุณมีทั้งโทษ แก่ผู้คิดเองก่อนแก่ผู้อื่นความรักความสามัคคีปรองดองเหมือนน้องพี่ในหมู่คณะหนึ่งหมู่คณะใด ก็อาจเกิดได้เพราะความคิดของผู้อยู่ร่วมหมู่คณะนั้น ที่เต็มไปด้วยความรัก ความปรารถนาดีต่อกันและกัน คิดให้อภัย กันเมื่อเกิดความผิดพลาดอย่างใดอย่างหนึ่งขึ้น ไม่ยกความผิดพลาดจะโดยบังเอิญหรือโดยตั้งใจของผู้ใดก็ตามมาคิดซ้ำเติมไป ต่างๆ นานาแต่คิดทุกอย่างที่จะอภัยให้แก่ความผิดพลาดนั้น ให้ใจไม่เพ่งโทษกันเช่นนี้กล่าวว่าความคิดไม่เป็นโทษ ความคิดเป็นคุณ จะให้ความสบายใจ แก่ผู้คิดนั่นเองก่อนผู้อื่น ผู้ปรารถนาความสบายใจจึงพยายามคิดไปทุกแง่ทุกมุมที่จะให้เกิดความสบายใจสมปรารถนา
ดูทีวี มากสมองทึบ
นักวิจัยแคนาดาสำรวจพบว่า การดูโทรทัศน์นานๆ ไม่แต่เพียงทำให้อ้วนเท่านั้น หากยังทำให้สมองทึบอีกด้วย ในการสำรวจเพื่อการศึกษา “การสำรวจสุขภาพชุมชนแคนาดา” ในหมู่ประชากรหญิงและชาย อายุระหว่าง 20-64 ปี จำนวน 42,600 คน ได้พบข้อมูลแสดงว่า ยิ่งใช้เวลาดูทีวีนานเท่าใด ก็จะยิ่งทำให้อ้วนมากขึ้นเท่านั้น “ผู้ที่ดูนานเกินกว่าอาทิตย์ละ 21 ชม. จะอ้วนกว่าคนที่ดูเฉลี่ยไม่เกิน 5 ชม. เกือบ 2 เท่า” คอมพิวเตอร์นานเกินกว่าอาทิตย์ละ 11 ชม. จะยิ่งมีโอกาสอ้วนมากขึ้นกว่าผู้ที่ใช้เวลานานน้อยกว่านั้น” แต่ที่น่าแปลกก็คือ การศึกษาไม่พบวี่แววความเกี่ยวพันของการอ่านกับความอ้วนเลย ไม่ว่าจะในผู้ชายหรือผู้หญิง
10 พฤติกรรมที่ทำให้สมองฝ่อเร็ว
10 พฤติกรรมที่ทำให้สมองฝ่อเร็ววันนี้เกร็ดความรู้มี 10 พฤติกรรมที่ทำให้สมองฝ่อเร็วมาบอกกัน...
1. ไม่ทานอาหารเช้า หลายคนคิดว่าไม่ทานอาหารเช้า แล้วจะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือด ต่ำ แต่นี่จะเป็นสาเหตุให้สารอาหารไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ ทำให้สมองเสื่อม
2. กินอาหารมากเกินไป การกินมากเกินไปจะทำให้หลอดเลือดแดงในสมองแข็งตัว เป็น สาเหตุให้เกิดโรคความจำสั้น
3. การสูบบุหรี่ เป็นสาเหตุที่ทำให้เป็นโรคสมองฝ่อและโรคอัลไซเมอร์
4. ทานของหวานมากเกินไป จะไปขัดขวางการดูดกลืนโปรตีนและสารอาหารที่เป็น ประโยชน์ เป็นสาเหตุของการขาดสารอาหารและขัดขวางการพัฒนาของสมอง
5. มลภาวะ สมองเป็นส่วนที่ใช้พลังงานมากที่สุดในร่างกาย การสูดเอาอากาศที่เป็น มลภาวะเข้าไปจะทำให้ออกซิเจนในสมองมีน้อยส่งผลให้ประสิทธิภาพของสมองลดลง
6. การอดนอน การนอนหลับจะทำให้สมองได้พักผ่อน การอดนอนเป็นเวลานานจะทำให้เซลล์ สมองตายได้
7. นอนคลุมโปง จะเป็นการเพิ่มคาร์บอนไดออกไซด์ให้มากขึ้นและลดออกซิเจนให้น้อยลง ส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงานของสมอง
8. ใช้สมองในขณะที่ไม่สบาย การทำงานหรือเรียนขณะที่กำลังป่วย จะทำให้ ประสิทธิภาพการทำงานของสมองลดลงเหมือนกับการทำร้ายสมองไปในตัว
9. ขาดการใช้ความคิด การคิดเป็นสิ่งที่ดีที่สุดในการฝึกสมอง การขาดการใช้ความ คิดจะทำให้สมองฝ่อ
10. เป็นคนไม่ค่อยพูด ทักษะทางการพูดจะเป็นตัวแสดงถึงประสิทธิภาพของสมองรู้อย่างนี้แล้วก็หลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่กล่าวมาจะดีกว่า เพื่อจะได้มีสมองที่ดี.
1. ไม่ทานอาหารเช้า หลายคนคิดว่าไม่ทานอาหารเช้า แล้วจะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือด ต่ำ แต่นี่จะเป็นสาเหตุให้สารอาหารไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ ทำให้สมองเสื่อม
2. กินอาหารมากเกินไป การกินมากเกินไปจะทำให้หลอดเลือดแดงในสมองแข็งตัว เป็น สาเหตุให้เกิดโรคความจำสั้น
3. การสูบบุหรี่ เป็นสาเหตุที่ทำให้เป็นโรคสมองฝ่อและโรคอัลไซเมอร์
4. ทานของหวานมากเกินไป จะไปขัดขวางการดูดกลืนโปรตีนและสารอาหารที่เป็น ประโยชน์ เป็นสาเหตุของการขาดสารอาหารและขัดขวางการพัฒนาของสมอง
5. มลภาวะ สมองเป็นส่วนที่ใช้พลังงานมากที่สุดในร่างกาย การสูดเอาอากาศที่เป็น มลภาวะเข้าไปจะทำให้ออกซิเจนในสมองมีน้อยส่งผลให้ประสิทธิภาพของสมองลดลง
6. การอดนอน การนอนหลับจะทำให้สมองได้พักผ่อน การอดนอนเป็นเวลานานจะทำให้เซลล์ สมองตายได้
7. นอนคลุมโปง จะเป็นการเพิ่มคาร์บอนไดออกไซด์ให้มากขึ้นและลดออกซิเจนให้น้อยลง ส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงานของสมอง
8. ใช้สมองในขณะที่ไม่สบาย การทำงานหรือเรียนขณะที่กำลังป่วย จะทำให้ ประสิทธิภาพการทำงานของสมองลดลงเหมือนกับการทำร้ายสมองไปในตัว
9. ขาดการใช้ความคิด การคิดเป็นสิ่งที่ดีที่สุดในการฝึกสมอง การขาดการใช้ความ คิดจะทำให้สมองฝ่อ
10. เป็นคนไม่ค่อยพูด ทักษะทางการพูดจะเป็นตัวแสดงถึงประสิทธิภาพของสมองรู้อย่างนี้แล้วก็หลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่กล่าวมาจะดีกว่า เพื่อจะได้มีสมองที่ดี.
อาหาร 5 อย่างที่คุณควรเลี่ยง
อาหาร 5 อย่างที่คุณควรเลี่ยง ได้อ่านรายงานการวิจัยจาก EWG (Environmental Working Group) ในสหรัฐอเมริกาเมื่อเร็วๆ นี้ พบว่าผลการตรวจเลือดของเด็กแรกเกิดในสหรัฐอเมริกามีสารที่อาจเป็นพิษตกค้างในเด็กอ่อนได้โดยเฉลี่ยมากถึง 287 ชนิด! ทั้งยาฆ่าแมลง สารปรอท และสารเคมีอย่างพวก Teflon ซึ่งก็เป็นเพราะคุณแม่ระหว่างตั้งครรภ์นั้น รับประทานอาหารที่มีสิ่งปนเปื้อนเหล่านี้เข้าไป จึงตกค้างอยู่ในลูก งานวิจัยพบว่าการเก็บตัวอย่างอาหารทั้งหลายมียาฆ่าแมลง และยาฆ่าวัชพืชตกค้างมากถึง 50-90% เลยทีเดียว ดังนั้นจึงไม่แปลกใจที่อาหารที่เรากินในปัจจุบันนี้ ห่างไกลจากความปลอดภัยโดยสิ้นเชิง มาดูกันสิว่าจะเริ่มต้นการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อสุขภาพที่ดีนั้น คุณควรหลีกเลี่ยงอาหารอะไรบ้าง อาหารกระป๋องทั้งหลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลไม้กระป๋อง ทั้งนี้เพราะความเป็นกรดจากผลไม้กระป๋อง จะไปกร่อนให้สารเคมีบางอย่างออกมาจากกระป๋องและปนเปื้อนอยู่ในอาหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Bisphenol-A หรือเรียกย่อๆ ว่า BPA ซึ่งพบว่าเชื่อมโยงไปถึงปัญหาสุขภาพ ตั้งแต่โรคหัวใจ เบาหวาน ความอ้วน ปัญหาของระบบสืบพันธุ์ ระบบประสาท และอาจเชื่อโยงไปถึงการเพิ่มความเสี่ยงต่อมะเร็งเต้านม และมะเร็งต่อมลูกหมากได้อีกด้วย ควรจะต้องระมัดระวังอย่างยิ่งในเด็ก แค่ได้อาหารกระป๋องวันหนึ่งสัก 2-3 ครั้ง ก็เกินค่าปลอดภัยไปแล้ว ทางที่ดีเลือกรับประทานผักผลไม้สด หรือถ้าอยากรับประทานผลไม้ที่ไม่ตรงตามฤดูกาล ก็ขอเลือกที่เก็บไว้ในขวดโหลแก้วจะดีกว่ากระป๋องโลหะ ควรเลี่ยงป๊อปคอร์นที่ทำโดยไมโครเวฟ ทั้งนี้เพราะคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจากไมโครเวฟนั้น จะไปทำให้สารเคมีในถุงป๊อปคอร์นระเหยมาปนเปื้อน ทำให้ข้าวโพดคั่วของคุณนั้นไม่ปลอดภัยอย่างที่คิด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สารที่เรียกว่า PFOA (Perfiuorooctanoic Acid) ซึ่งเคลือบอยู่ภายในถุงของป๊อปคอร์น จากการวิจัยในสัตว์ทดลองพบว่าสารนี้ สามารถเชื่อมโยงไปถึงการมีลูกยาก การทำงานที่ผิดปกติของสารเคมีต่างๆ เพิ่มความเสี่ยงของการเป็นมะเร็งตับอ่อน มะเร็งของตับและมะเร็งของอัณฑะ เนื้อสัตว์รวมถึงปลาที่มาจากฟาร์มปศุสัตว์ ที่เร่งเลี้ยงให้สัตว์เหล่นี้เจริญเติบโตเร็วกว่าธรรมชาติ โดยใช้ทั้งยาปฏิชีวนะ ฮอร์โมนกระตุ้น ไปจนถึงให้สารอาหารที่ไม่ธรรมชาติ อย่างเช่น วัวควรจะกินหญ้าตามธรรมชาติ แต่วัวที่เลี้ยงในปศุสัตว์นั้นกลับไปให้กินธัญพืช ถั่วเหลือง ข้าวโพด ซึ่งไม่ใช่อาหารธรรมชาติ งานวิจับพบว่าเมื่อเทียบเนื้อวัวจากฟาร์มปศุสัตว์ กับวัวที่เลี้ยงกินหญ้าตามธรรมชาติ เนื้อวัวกินหญ้าจะมีเบต้าแคโรทีน วิตามินอี กรดไขมัน จำเป็นโอเมก้า 3 โอเมก้า 6 conjugated linoleic Acid หรือ CLA มากกว่า รวมทั้งมีเกลือแร่ แคลเซียม แมกนีเซียม โปแตสเซียมสูงกว่าด้วย ทั้งนี้สาระสำคัญคือ กรดไขมันชนิด CLA นั้น จำเป็นต่อสุขภาพ มีคนนำมาใช้ช่วยในการลดน้ำหนัก เพราะช่วยลดการสะสมของไขมัน ช่วยให้ระบบเผาผลาญพลังงานได้ดีขึ้น เสริมการทำงานของต่อมไทรอยด์ ทั้งยังช่วยรักษาระดับของ คอเลสเตอรอล และไตรกลีเซอไรด์ไม่ให้สูงจนเกินไป มีผลช่วยป้องกันเบาหวานได้ดี แต่จะได้จากวัวที่เลี้ยงตามธรรมชาติเท่านั้น หากเลี้ยงโดยปศุสัตว์ใช้สารเคมียาและฮอร์โมนเร็วก็จะไม่มีสาร CLA เท่าที่ควร นอกจากจะต้องเลี่ยงสัตว์จากฟาร์มเลี้ยงแล้ว ปลาแซลมอนที่มาจากฟาร์มเลี้ยงก็ควรจะต้องระมัดระวังด้วย เพราะมักมีสารเคมี ทั้งยาฆ่าแมลงจำพวก DDT Dioxin และสารก่อมะเร็งบางอย่าง ซึ่งพบได้มากในปลาที่เลี้ยงมากกว่าปลาที่จับได้จากทะเล แต่ปลาจากทะเลก็ใช่ว่าจะปลอดภัยเสียทีเดียว เพราะโรงงานอุตสาหกรรมทั้งหลาย ต่างเอาขยะไปโยนทิ้ง ทำให้มีโลหะหนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งสารปรอทตกค้างการศึกษาโดย US Geological Survey พบว่าเมื่อสำรวจแม่น้ำสายต่างๆ ในอเมริกา 300 สาย มีถึง 27% ที่มีระดับของปรอทในปลาจากแม่น้ำเหล่านั้น มากกว่าค่ากำหนดของ US EPA ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ดูแลสิ่งแวดล้อม ทางที่ดีควรเลือกรับประทานปลาที่มาจากธรรมชาติในแหล่งที่บริสุทธิ์ อย่างเช่น อลาสก้า ซึ่งไม่ค่อยจะมีโรงงานอุตสาหกรรมมากนัก หรือาจจะหันไปรับประทานปลาตัวเล็กๆ อย่างปลาซาร์ตีน หรือปลาแอนโชวี่ ซึ่งยังมีกรดไขมันจำเป็น โอเมก้า 3 แถมเคี้ยวก้างกรุบกรอบได้ทั้งตัวได้แคลเซียมเพิ่มขึ้นด้วย และปลาตัวเล็กก็จะปลอดภัย จากสารเคมีตกค้างมากกว่าปลาตัวใหญ่ ควรหลีกเลี่ยง นม และผลิตภัณฑ์นม ทั้งนี้ เพราะนมส่วนใหญ่นั้น ได้มาจากฟาร์ม โคนม ซึ่งมีการใช้ ฮอร์โมนเร่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งโกรทฮอร์โมนที่เรียกว่า rBGH Recombinant bovine Growth Hormone ซึ่งหมายถึง ฮอร์โมนที่ไปเร่งการเจริญเติบโต เพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์นมมากที่สุด พบว่าโกรทฮอร์โมนที่ไม่ธรรมชาตินี้ตกค้างอยู่ในนม และผลิตภัณฑ์นมและอาจจะไปเพิ่มความเสี่ยงของการเป็นมะเร็งเต้านม มะเร็งลำไส้ใหญ่ และมะเร็งต่อมลูกหมากได้ ควรหลีกเลี่ยง ผัก ผลไม้ เนื้อสัตว์ ที่ผลิตเป็นอุตสาหกรรมทั้งหมด ซึ่งมักจะเป็น Nonorganic คือมีสารเคมี ทั้งยาฆ่าแมลง ยาฆ่าวัชพืช ฮอร์โมนเร่ง ยาปฏิชีวนะทั้งหลาย ทางที่ดีควรจะเลือกรับประทานเนื้อสัตว์ที่มาจากฟาร์ม organic ซึ่งหมายถึงเลี้ยงโดยธรรมชาติ วัวก็ต้องกินหญ้า ไม่ใช่ให้กินถั่ว กินธัญพืช ไก่ก็ต้องเลี้ยงโดยธรรมชาติ ไม่ใช่ใส่สารเคมีเร่ง ซึ่งค่อนข้างจะหายาก และราคาแพง แต่เพื่อสุขภาพของตัวคุณเองในระยะยาว เห็นทีจะต้องพยายามปลูกผักทำสวนครัว เลี้ยงไก่ เอาไว้กินไข่เองที่บ้านถึงจะปลอดภัยที่สุดนะคะ เอาเป็นว่าอะไรที่ดูไม่ธรรมชาติก็พยายามหลีกเลี่ยงรับประทานอาหารสด ที่ผ่านความร้อนไม่สูงมากหนัก ด้วยการต้ม ตุ๋นนึ่ง หลีกเลี่ยงการปิ้ง ย่าง ทอด ซึ่งจะทำให้คุณค่าอาหารเสีย และเพิ่มสารพิษมากขึ้นกว่าเดิม
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)